ประวัติชาวเขา
กระเหรี่ยง
(Karen) แม้ว
(Meo)
เย้า ( Yao)
มูเซอ ( Lahu)
ลีซอ (Lisu)
อีก้อ (Akha)
ลัวะ
(Lua)
ถิ่น(H'tin)
ขมุ( Khamu)
ผีตองเหลือง(Malabari)
ปะดอง(Padaung)
ปะหล่อง(Palong)
ผีตองเหลือง
MLABRI
ผีตองเหลืองเรียกชื่อเชื้อชาติของตนเองว่า มลาบรี
มีความหมายว่า คนป่าสำหรับคำว่า ผีตองเหลือง
นั้นเป็นชื่อเรียกของชาวบ้านคนไทยทางภาคเหนือ ที่ใช้เรียกชนกลุ่มนี้
เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเร่ร่อน
เสาะหาแหล่งอาหารโดยการล่าสัตว์และเก็บพืชผักผลไม้ตามที่ต่าง ๆ
ในป่ามารับประทาน
ที่พักหรือบ้านก็สร้างเป็นเพิงหลังคามุงด้วยใบตองสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยในระหว่างหาอาหาร
เมื่อแหล่งที่อยู่อาศัยนั้นมีอาหารไม่พอเพียง
ก็จะย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อหาอาหารต่อไป
และเป็นความบังเอิญที่ว่าชาวบ้านในแถบนั้นเคยพบชนกลุ่มนี้ตั้งแต่เริ่มสร้างที่อยู่และสังเกตว่า
เมื่อใบตองเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ก็จะย้ายหนีไป
ประกอบกับลักษณะนิสัยของเขาเมื่อได้พบกับคนไทยหรือคนเผ่าอื่นที่ไม่เคยรู้จักกัน
ก็อพยพหลบหนีทันที จึงถูกเรียกชื่อว่า ผีตองเหลือง
ประวัติความเป็นมา การกระจายตัวและประชากร
มีหลักฐานบางประการทางประวัติศาสตร์และตำนานเรื่องเล่า ทำให้เชื่อได้ว่า
ผีตองเหลืองมีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณแม่น้ำโขงของแขวงไชยะบุรี ประเทศลาว
สำหรับผีเหลืองในประเทศไทย อพยพเข้ามาเมื่อไม่มีใครทราบ
ในอดีตเคยอยู่กระจายกันในหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ เชียงราย น่าน
แพร่ อุตรดิตถ์ และเลย แต่ปัจจุบัน
ผีตองเหลืองอาศัยอยู่ในสองจังหวัดของประเทศไทยเท่านั้น คือ แพร่
และน่าน จังหวัดละ 1 หมู่บ้าน รวม 63 หลังคาเรือน และมีประชากรรวม
276 คน
การย้ายที่อยู่
การย้ายที่อยู่มักจะย้ายหลังจากอาหารในบริเวณนั้นไม่พอเพียงกับจำนวนสมาชิก
ในปัจจุบันจะพบว่า
ส่วนใหญ่แล้วชนกลุ่มนี้จะอพยพตามลักษณะภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์โดยจะอาศัยอยู่ในแต่ละพื้นที่
เป็นเวลา 5-10 แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นที่อาหารเพียงพอ
การอพยพอาจจะทำอีกรูปแบบหนึ่งคือ
ย้ายไปแล้ววนกลับมาที่เดิมอีกในรัศมีประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร
ในด้านความเป็นอยู่ของผีตองเหลืองซึ่งมีความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนยังไม่รู้จักรวมตัวกันอยู่ในรูปของหมู่บ้าน
แต่จะอยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และอพยพเคลื่อนย้ายไปเพื่อหาแหล่งอาหารในป่า
ดังนั้นชนกลุ่มนี้จะสร้างที่พักอาศัยในลักษณะเพื่อเป็นที่พักชั่วคราวเท่านั้น
มีลักษณะเป็นเพิง เพราะสร้างง่าย ที่พักอาศัยจะสร้างจากไม้ไผ่
หลังคาจะมุงด้วยใบตอง ใบหวาย หรือใบไม้ชนิดอื่น ๆ
ที่มีใบใหญ่พอที่จะมุงเป็นหลังคาได้
ลักษณะครอบครัว
ลักษณะครอบครัวของผีตองเหลือง ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นครอบครัวเดี่ยว
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีขนาดครอบครัวประมาณ 3 6 คน
เพราะภายหลังการแต่งงงานคู่สมรสมักจะแยกออกจากครอบครัวเดิมของตนไปตั้งครอบครัวใหม่
จะไม่มีการอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพ่อแม่ ทั้งของฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย
การแต่งงานของผีตองเหลือง
นิยมแต่งงานกับคนในเผ่าเดียวกันนอกกลุ่มแต่จะไม่แต่งงานกับบุคคลที่เป็นเครือญาติกัน
นอกจากนี้ ผีตองเหลืองยังยึดถึงการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว
และการแต่งงานใหม่ก็ทำได้
แต่จะต้องมีการหย่าร้างกับคู่ครองเดิมแล้วเท่านั้น
การมีสามีหรือภรรยามากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกันผีตองเหลืองถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดผี
ผิดจารีตประเพณีหากมีใครฝ่าฝืนทำผิดจารีตประเพณีในเรื่องนี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จะดลบันดาลให้สัตว์ป่า และพืชผักอาหารต่าง ๆ
ในป่าหมดไป ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาให้กับผีตองเหลืองทั้งหมด
ความเชื่อถือ
มีการนับถือผี
และมีพิธีกรรมเซ่นสรวงบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นผีผู้รักษาป่า ภูเขา
และลำห้วยต่าง ๆ อันเป็นต้นกำเนิดเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของเขา
แต่การนับถือผีของชนเผ่าผีตองเหลือง ไม่ซับซ้อนเหมือนกับชนเผ่าอื่น ๆ
ผีตองเหลืองนับถือผีป่า ผีภูเขา
และผีลำห้วย การเซ่นไหว้บูชาจะกระทำในคืนวันเพ็ญ ด้วยการเต้นรำรอบ ๆ
หอกยาว เครื่องดนตรีมีอย่างเดียว คือ แคน
เกี่ยวกับผู้ตาย
ผีตองเหลืองจะทำพิธีโดยการวางศพลงบนกองไม้แล้วปิดด้วยใบไม้
ญาติพี่น้องจะหมอบลงใกล้ศพ ร่ำให้
จุดไฟเผาแล้วพากันรีบย้ายไปอยู่ที่อื่นทันที คนตายแล้ว เขาเชื่อว่า
วิญญานจะออกจากร่างท่องเที่ยวไปแล้วก็ไปสิงในร่างของสัตว์ชนิดต่าง ๆ
การเจ็บป่วย เชื่อว่า วิญญาณที่ชั่วมาทำร้าย
จะรักษาโดยใช้ไฟหรือควันไฟขับไล่ให้ออกไป
เศรษฐกิจ
ผีตองเหลืองเป็นกลุ่มชนที่มีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน ในอดีตไม่มีที่ดินทำกิน
ไม่ปลูกพืช ไม่เลี้ยงสัตว์ ดำรงชีวิตในวันหนึ่ง ๆ ด้วยการหาอาหารในป่า
จำพวกสัตว์ป่า ผลไม้ และของป่ามาเป็นอาหาร
รู้จักใช้ไฟเพื่อปรุงอาหารให้สุก หุงต้มอาหารโดยใช้กระบอกไม้ไผ่
และใช้หม้อที่ได้จากคนไทยหรือชาวเขา
การแต่งกายที่เป็นจุดเด่นของเผ่าคือ
ผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยวเล็ก ๆ เพียงผืนเดียว ไม่ใส่เสื้อ
ส่วนผู้หญิงก็มีเสื้อผ้าสวมใส่เช่นเดียวกับชนเผ่าอื่น ๆ ใช้ผ้าถุง
และสวมเสื้อแบบคนไทย
อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันผีตองเหลืองส่วนหนึ่งได้ออกจากป่า มารับจ้างทำงานให้กับคนไทย
และชาวเขาที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับแหล่งที่อยู่อาศัยของเขา
ซึ่งจะได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนเป็นเงินและสิ่งของเครื่องใช้
พวกนี้ขยันขันแข็งและทำงานหนัก
เมื่อไปทำงานได้สวมใส่เสื้อผ้าเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ลักษณะ
รูปร่างหน้าตาสีผม สีผิว
คล้ายคนไทยและชาวเขาเมื่อสวมใส่เสื่อผ้าแล้วจึงดูไม่ออกว่าเป็นคนเผ่าอะไร
ชีวิตที่เร่ร่อนในป่า
อาจจะยากลำบากมากกว่าแต่ก่อน เพราะสัตว์ป่ามีน้อยลง
พืชและผลไม้ในป่าที่รับประทานได้ก็มีปริมาณจำกัด
ดังนั้นเมื่อมีคนไทยหรือชาวเขาเผ่าอื่น ๆ
จ้างผีตองเหลืองมาทำงานในไร่พวกนี้ก็ยินดีที่จะทำ
การดำรงเผ่าพันธุ์
ผีตองเหลืองเป็นเผ่าที่มีประชากรน้อย ในอดีตเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว
เคยมีกลุ่มบุคลากรด้านการแพทย์ไปทำการเจาะเลือดชนกลุ่มนี้ และนำมาตรวจดู
ปรากฏลือดกลุ่มเอทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
การแต่งงานของผีตองเหลืองจะมีอยู่ในเผ่าของตนเท่านั้น
สำหรับปัจจุบันมีหญิงสาวเผ่านี้บางคนลงมารทำงานรับจ้างอยู่ในเมืองและแต่งงานกับคนไทยก็มี
การที่ผีตองเหลืองหันมามีอาชีพรับจ้างทำงานให้คนไทย หรือชาวเขา
ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมประเพณีของเขา ซึ่งหน่วยงานของทางราชการ
และเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านสวัสดิการสังคมการศึกษาและสาธารณสุข
ได้ใช้วิธีการในการที่จะทำให้ผีตองเหลืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกันวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม และที่เหมาะสม
ก็น่าที่จะอนุรักษ์ไว้เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของเขาต่อไป
*********************************
กระเหรี่ยง
(Karen) แม้ว
(Meo)
เย้า ( Yao)
มูเซอ
( Lahu)
ลีซอ (Lisu)
อีก้อ (Akha)
ลัวะ
(Lua)
ถิ่น(H'tin)
ขมุ( Khamu)
ผีตองเหลือง(Malabari)
ปะดอง(Padaung)
ปะหล่อง(Palong)