27/12/48

 

 รวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดแม่ฮ่องสอน

 ประวัติชาวเขา   

 

 กระเหรี่ยง (Karen)  แม้ว (Meo)     เย้า ( Yao)    มูเซอ ( Lahu)        ลีซอ (Lisu)      อีก้อ (Akha)    ลัวะ (Lua)

 

  ถิ่น(H'tin)      ขมุ( Khamu)     ผีตองเหลือง(Malabari)    ปะดอง(Padaung)    ปะหล่อง(Palong)

    

ปะดอง  PADAUNG

 

                ปาดอง  หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่ากะเหรี่ยงคอยาว  เป็นกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในรัฐคะยาประเทศเมียนมาร์ (พม่า)  บริเวณที่ราบสูงตอนเหนือแม่น้ำสาละวิน  ทิศตะวันออกของเมียนมาร์ติดชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย  มีประชากรประมาณ 30,000 คน ปาดองเรียกตนเองว่า แลเคอ  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า The Long - neck, Giraffe- necked  wemen  หรือ The Giraffe women ในปี ค.ศ.1922  Marshall ได้จัดแบ่งกลุ่มกะเหรี่ยงในประเทศเมียนมาร์ออกเป็น  3 กลุ่ม และได้จัดปาดองไว้ในกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยงบเว

                ประมาณปี พ.ศ. 2528 – 2529  บริษัทนำเที่ยวได้ติดต่อกับชาวกะเหรี่ยงในเขตเมียนมาร์ชื่อ ตูยีมู เพื่อนำปาดองเข้ามาอยู่ในเขตชายแดนไทยที่บ้านน้ำเพียงดิน  เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมเป็นการดึงดูนักท่องเที่ยวอีกวิธีหนึ่ง  โดยปาดองได้รับเงินค่าตอบแทนสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวและสมทบทุนซื้ออาวุธไว้รบกับทหารเมียนมาร์  ปัจจุบันปาดองส่วนหนึ่งได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านในสอยเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอนห่างจากอำเภอเมือง ประมาณ  30 กม. เพราะบ้านน้ำเพียงดินการคมนาคมไม่สะดวกต้องเดนทางด้วยเรือใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง  ค่าโดยสารคนละ 300 บาท นอกจากนั้นยังถูกทหารเมียนมาร์รบกวน  บริษัทนำเที่ยวเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยวจึงย้ายไปอยู่ที่บ้านในสอย  หมู่บ้านนี้มีประชากร 145 คน  32 หลังคาเรือน  เป็นชาวไทยใหญ่  ส่วนบ้านปาดอง  มีประมาณ 17 หลังคาเรือน  ประชากรประมาณ 70-80 คน  อยู่เลยจากหมู่บ้านไทยใหญ่ไปประมาณ 3 กม. ชาวปาดองถือว่าเป็นผู้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว  และขณะนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว  หญิงปาดองที่ถูกบันทึกภาพเผยแพร่ทั่วไปจะได้แก่  มานั่ง  มะซอ โมเลาะ  โมเปาะ  และมะไป่

                นอกจากปาดองที่บ้านในสอยแล้ว  ก็ยังมีปาดองอีกหมู่บ้านหนึ่ง คือ บ้านห้วยเสือเฒ่า  อยู่ติดกับหมู่บ้านกะเหรี่ยง  ห่างจากตัวจังหวัดแม่ฮ่องสอนประมาณ 10 กม.  รถยนต์เข้าถึงหมู่บ้านได้  แต่ในฤดูฝนเดินทางลำบากเพราะต้องข้ามลำห้วยหลายแห่ง

                ปางดองบ้านห้วยเสือเฒ่ามี  19  หลังคาเรือน ประชากร 80 คน  มีหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ใส่ห่วงคอทองเหลืองทั้งหมด 31 คน  หมู่บ้านดังกล่าวนี้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว  มีนักธุรกิจนำพวกปาดองมาปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่แบบดั้งเดิมของเขา  ไม่ได้ทำมาหากินด้วยอาชีพการเกษตร  เขาไม่สามารถบุกเบิกหักล้างถางป่าสำหรับการเพาะปลูกได้เพราะอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ  ปาดองหมู่บ้านนี้จึงมีรายได้หลักจากการที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม นักธุรกิจผู้ชักจูงให้พวกเขามาอยู่นั้น  ได้จ่ายเงินค่าเลี้ยงชีพให้ครอบครัวละ 1,500 บาท/เดือน และยังมีสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยให้อีกด้วย  นอกจากนี้ก็ซื้อข้าวให้กินทุกหลังคาเรือน  ปาดองสามารถขายสินค้าของที่ระลึกรับของแจกและเงินค่าถ่ายรูปจากนักท่องเที่ยว  จึงสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ

                นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเข้าไปเยี่ยมชมในหมู่บ้านปางดองแห่งนี้จะต้องจ่ายให้แก่ผู้จัดการและเจ้าของกิจการ  ซึ่งอยู่ประจำในหมู่บ้าน คนละ 200 บาท เดือนหนึ่ง ๆ เฉลี่ยมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมประมาณ 1,000 คน

ลักษณะการแต่งกาย

                ชายเผ่าปาดอง  แต่งกายเหมือนเผ่าอื่น ๆ คือ นุ่งกางเกงขาก๊วยแบบจีน  เสื้อตัวสั้นศรีษะโพกผ้า  ถ้าไปงานก็สวมกำไลข้อเท้าที่ทำจากลูกปัดสีขาว  น่องตอนบนจะใส่กำไลไม้ไผ่หรือหวาย

                หญิงปาดองมีเอกลักษณ์การแต่งกายที่เด่นแตกต่างจากหญิงชาวเขาเผ่าอื่น ๆ จนกลายเป็นชื่อเรียกเผ่าพันธุ์  ตามลักษณะลำคอที่ยาวเนื่องจากรอบคอสวมใส่ห่วงทองเหลืองซ้อนกันหลายห่วง  ตั้งแต่ไหปลาร้าจรดคาง  จนทำให้ลำคอยาวผิดปกติ และทรงผมด้านหน้าจะไว้หน้าม้า  ด้านหลังจะมัดเป็นมวยแล้วใช้ผ้าสีเขียว  สีชมพูคาดทับทิ้งชายห้อยระบ่า  แขนจะใส่กำไลที่ทำจากอลูมีเนียมข้างละ 3-5 วง  และที่ขาบริเวณใต้หัวเข่าจะสวมห่วงทองเหลืองไว้อีกข้างละประมาณ 10-15 วง  รองด้วยผ้าสีชมพูและจากน่องลงมาถึงข้อเท้าจะพันด้วยผ้าสีน้ำเงิน  เสื้อที่สวมใส่เป็นสีขาวคอวีทรงกระสอบ  ตัวยาวถึงสะโพกล่าง  ผ้าถุงสีกรมท่าสั้นแค่หัวเข่า มีลวดลายเป็นเส้นสีชมพูรอบชายผ้าถุงที่แคบ  และนุ่งพับทบกันด้านหน้า  ประเทศเมียนมาร์มีชนกลุ่มน้อยหลายเผ่าพันธุ์ เครื่องแต่งกายของหญิงจึงเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ  ในการบอกความแตกต่างระหว่างเผ่าและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นข้อห้ามของแต่ละเผ่า  บางเผ่ามีประเพณีให้หญิงสักตามตัวมากจนไม่เป็นที่สนใจของเพศตรงข้ามต่างเผ่า

ตำนานการใส่ห่วงทองเหลืองที่คอของหญิงปาดอง

                มียายปรัมปรา  กล่าวถึงการใส่ห่วงคอทองเหลืองของปาดองหลายเรื่อง เช่น  มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าในอดีตกาล  ภูติผีและวิญญาณไม่พอใจพวกปาดองจึงส่งเสือมากัดกินโดยเฉพาะผู้หญิง  บรรพบุรุษปาดองเกรงว่าถ้าผู้หญิง่ตายหมดเผ่าพันธุ์ตนจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้  จึงให้ผู้หญิงใส่ปลอกคอทองเหลืองเพื่อป้องกันไม่ให้เสือกัดคอระหว่างเดินทางและอีกตำนานหนึ่งเล่าว่าพวกปาดองมีแม่เป็นมังกรและหงส์จึงต้องใส่ห่วงคอเพื่อทำให้คอยาวระหงส่ายไปมา  สง่างามเหมือนคอหงษ์และมังกร

                นอกจากนั้นยังมีเหตุผลทางด้านประวัติศาสตร์  กล่าวไว้ว่าในอดีตปาดองหรือแลเคอเป็นนักรบผู้กล้าหาญมีความกตัญญูรักษาสัจจะวาจาเท่าชีวิต  และเคยมีอำนาจเหนือเมียนมาร์ได้ปกครองประเทศเมียนมาร์มาก่อน  แต่ถูกเมียนมาร์รวมกำลังกับชนเผ่าบังการี  ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของบังคลาเทศ  ทำสงครามขับไล่ปาดองจนต้องอพยพหลบหนีเพราะพ่ายแพ้ต่อการรบ  และได้นำราชธิดาผู้นำเผ่า  ซึ่งอายุได้เพียง 9 ปี หลบหนีมาด้วยและราชธิดาได้นำต้นไม้ที่แลเคอเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์  เรียกว่า  ต้นปาดองมีสีเหลืองอร่ามเหมือนทอง  เมื่อมาถึงชัยภูมิที่เหมาะสมและพ้นอันตรายจากการติดตามของข้าศึกแล้วจึงหยุดไพร่พล  ราชธิดาก็เอาต้นปาดองนั้นพันคอไว้และประกาศว่าจะเอาต้นปาดองออกจากคอเมื่อแลเคอกลับไปมีอำนาจปกครองเมียนมาร์  นับแต่นั้นมาพวกแลเคอผู้รักษาวาจาสัตย์ก็จะนำเด็กผู้หญิงที่มีอายุ 9 ขวบมาพันคอด้วยห่วงทองเหลืองที่มีความหนาประมาณ ½  เซนติเมตร  เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม.  โดยมีหมอผีประจำเผ่าเป็นผู้ทำพิธี  โดยท่องมนต์และกลอนเตือนใจให้สำนึกว่าต้องพยายามกู้ชาติชิงแผ่นดินคืน

                การใส่ปลอกคอทองเหลืองนั้นเริ่มเมื่อ เด็กหญิงปาดองอายุได้ 5-9  ปี  หมอผีประจำหมู่บ้านจะทำพิธีเสี่ยงทายกระดูกไก่เพื่อหากฤกษ์  แต่เดิมมาจะใส่เฉพาะเด็กหญิงที่เกิดวันพุธตรงกับวันเพ็ญเท่านั้นและต้องเป็นเลือดปาดองแท้ ๆ จะเป็นลูกผสมต่างเผ่าพันธุ์ไม่ได้  การปฏิเสธใส่ห่วงคอจะถูกสังคมรังเกียจทำให้หญิงปาดอง่ต้องอับอาย  บางรายถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านทำให้เกิดความว้าเหว่  กลัดกลุ้มจนล้มป่วยและในที่สุดก็ตายหรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย   ปัจจุบันหญิงปาดองที่ใส่ห่วงคอทองเหลืองไม่จำเป็นต้องเลือกเฉพาะที่เกิดวันเพ็ญ  ที่ตรงกับวันพุธแล้วต่างหันมานิยมใส่กันหมด  โดยใช้ทองเหลืองที่นำมาจากเมืองเบงลองประเทศเมียนมาร์  น้ำหนักเมื่อแรกใส่ประมาณ 2.5 กิโลกรัม   นำทองเหลืองมาดัดเป็นเส้นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1/3 นิ้ว ไส้ตัน  ก่อนใส่ต้องอังไฟให้อ่อน  แล้วนำมาขดรอบคอเป็นวง ๆ เหมือนลวดสปริง  ประมาณ  9 วง  ผู้ใส่ห่วงจะต้องมีความชำนาญและมีฝีมือ  มิฉะนั้นห่วงจะไม่สวย  และผู้ถูกใส่ห่วงจะเจ็บคอ  ปกติทั่วไปหญิงปาดองจะมีห่วงคอ 2 ชุด ชุดแรกใส่เป็นฐานบนไหล่มี 5 วง  ต่อจากนั้นขึ้นไปบนคอจะมีอีกประมาณ  20 วง  ห่วง  2 ชุดนี้  แยกออกจากกันแต่มีโลหะยึดไว้ด้านหลังคอ  และวงบนสุดจะมีหมอนใบเล็ก ๆ ใส่ค้ำคางไว้กันการเสียดสี  การเพิ่มจำนวนห่วงที่คอ จะเปลี่ยนขนาดทุก 4 ปี  ในชีวิตของหญิงปาดองจะเปลี่ยนทั้งหมด  9  ครั้ง  ครั้งสุดท้ายที่เปลี่ยนขนาดหญิงปาดองจะมีอายุประมาณ 45 ปี  จำนวนห่วงมากที่สุด 32 ห่วง  น้ำหนักประมาณ 13 – 15 กิโลกรัม  ความยาวสูงสุดประมาณ  35 ซม.  จำนวนห่วงที่นับได้จากคอหญิงปาดองที่บ้านในสอย ประมาณ 22 ห่วง  ลำคอยาว  9 นิ้ว  น้ำหนักประมาณ  7  กิโลกรัม  คิดเป็นเงินประมาณ 6,000 บาท หญิงปาดองจะใส่ห่วงนี้จนกว่าจะตาย  การถอดห่วงคอของหญิงปาดองนอกจากเพื่อเปลี่ยนขนาดแล้ว  ยังถอดในโอกาสอื่น ๆ  เช่น เมื่อต้องท้องเตรียมจะคลอดลูกเมื่อคลอดลูกเสร็จแล้วก็จะใส่ห่วงคอตามเดิม   ส่วนการถอดห่วงคอที่เป็นการลงโทษนั้นกระทำเมื่อมีการทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว  จะถูกถอดคอออกทำให้คอที่ยาวโงนเงนไปมาไม่สามารถรับน้ำหนักได้คอจะพับหายใจขัด  เกิดความอายและป่วยตายในที่สุด  มีผู้สันนิษฐานว่าถ้าพิจารณาทางสรีระวิทยาการใส่ห่วงนานเป็นปี ๆ กล้ามเนื้อที่คออาจตีบหรือตาย  แต่ผู้ที่ถอดห่วงออกจะไม่เป็นอันตรายเพราะร่างกายได้พัฒนาสร้างกล้ามเนื้อใหม่ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมา  ถ้าถอดห่วงแล้วสวมที่พยุงคอไว้ระยะหนึ่งจนกว่ากล้ามเนื้อใหม่จะพัฒนาขึ้นมาคอก็จะมีขนาดเท่าคนปกติ  นายแพทย์เกซิเซียน  ได้ถ่ายเอกซเรย์หญิงปาดองที่โรงพยาบาลย่างกุ้งพบว่าคอไม่ได้ยืดยาว  แต่เป็นช่วงหน้าอกที่ถูกผลักดันลงมาให้ทรุดลงเมื่อเพิ่มขนาดห่วงกระดูกไหปลาร้ารวมทั้งซี่โครงก็จะทรุดตัวลงทำให้ดูคอยาว  เพราะน้ำหนักจะกดทัพกระดูกซี่โครงซี่ที่ 1 และ 2  และกระดูกไหปลาร้าโค้งงอลง  ปัจจุบันหญิงปาดองที่ถือศาสนาคริสต์จะไม่ใส่ห่วงที่คอทำให้คล่องตัวต่อการทำมาหากินในชีวิตประจำวันมากขึ้น

ศาสนาและความเชื่อ

                                ปาดองที่นับถือพุทธจะควบคู่ไปกับการเชื่อเรื่องผีและสิ่งที่เหนือธรรมชาติทั้งปวง  พวกเขาถือว่าหากทำให้ผีไม่พอใจจะทำให้เกิดภัยอันตรายมาสู่คนในบ้านเรือนและชุมชน  ดังนั้นจึงต้องมีการตั้งศาลที่บ้าน ที่ทุ่งนา  ริมลำห้วย  ในป่า  เมื่อจะประกอบพิธีกรรมจะต้องมีการเสี่ยงทายด้วยกระดูกไก่  เพื่อหากฤษ์  เช่น การปลูกบ้าน  ถางไร่  หว่านเมล็ดพันธุ์  การเก็บเกี่ยว  การล่าสัตว์  ถ้ามีการเจ็บป่วยเชื่อว่าผีและวิญญาณมาเอาขวัญผู้ป่วยไป  ต้องให้หมอผี เป็นผู้ติดต่อสอบถามว่าต้องการให้เซ่นด้วยอะไร  เช่น  หมู  ไก่  ข้าว  สุรา  บางครั้งถ้ามีโรคระบาดป่วยกันเกือบทั้งหมู่บ้านพวกเขาต้องจัดพิธีกรรมบวงสรวงผีและวิญญาณเพื่อชำระล้างหมู่บ้าน  สำหรับปาดองที่อาศัยในรัฐคะยา  ประเทศเมียนมาร์มานั้น  ส่วนมากจะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก  ซึ่งมีคณะผู้สอนศาสนาเข้าไปเผยแพร่มานานแล้ว

 

 

 

 

*******************************

 

 กระเหรี่ยง (Karen)  แม้ว (Meo)     เย้า ( Yao)    มูเซอ ( Lahu)        ลีซอ (Lisu)      อีก้อ (Akha)    ลัวะ (Lua)

 ถิ่น(H'tin)      ขมุ( Khamu)     ผีตองเหลือง(Malabari)    ปะดอง(Padaung)    ปะหล่อง(Palong)